In Vitro vs In Vivo คืออะไร การทดสอบกันแดดทำไมต้องใส่ใจ
- pocarethailand
- May 31
- 2 min read
เมื่อพูดถึงกันแดดสกินแคร์ หลายคนอาจมองว่าเป็นไอเทมพื้นฐานที่ทาเป็นประจำทุกวันกันอยู่แล้ว โดยไม่ต้องคิดมากเวลาเลือกเราจะดูที่ SPF PA+++ กันเป็นหลัก เพื่อหาตัวที่ดีที่สุดในการปกป้องผิวเราจากแสงแดดอย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่รู้ไหมว่า เบื้องหลังของกันแดดแต่ละหลอดนั้น ต้องผ่านกระบวนการทดสอบกันแดดมากมาย เพื่อให้มั่นใจว่าทั้งกันแดดได้ และปลอดภัยกับผู้ใช้จริง
หนึ่งในกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้เราเชื่อมั่นในประสิทธิภาพของกันแดดได้ ก็คือการทดสอบ โดยเฉพาะการทดสอบแบบ In Vitro และ In Vivo ที่หลายอาจเคยเห็นหรือได้ยินกันมาบ้าง เพราะถือเป็นการทดสอบมาตรฐานทั่วไปสำหรับการประเมินประสิทธิภาพของกันแดด โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์ที่ต้องการพูดถึงประสิทธิภาพของค่า SPF หรือ PA อย่างถูกต้องและน่าเชื่อถือ ซึ่งมีเขียนไว้ที่ด้านหลังฉลากผลิตภัณฑ์ แล้วเคยสงสัยไหมว่า มันต่างกันยังไง การทดสอบแบบไหนน่าเชื่อถือกว่า และทำไมถึงสำคัญขนาดนั้น
ในบทความนี้ เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับโลกของการทดสอบกันแดดอย่างเข้าใจง่าย พร้อมเผยเบื้องหลังของกันแดดคุณภาพ ที่ PO Care เลือกทดสอบอย่างจริงจังจากแล็บที่ได้มาตรฐานให้คุณมั่นใจในทุกครั้งที่ใช้ เพราะสุขภาพผิวไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ และกันแดดที่ดีต้องมีมากกว่าคำโฆษณาแต่ต้องพิสูจน์ได้จริง
ทำไมต้องมีการทดสอบกันแดด

นอกจากความร้อนแล้ว แสงแดดยังทำร้ายผิวเราได้จากรังสี UV ทั้ง UVA และ UVB ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวหมองคล้ำ แก่ไว เกิดฝ้า กระ ผิวไหม้ และอาจเสี่ยงมะเร็งผิวหนังได้ กันแดดสกินแคร์จึงกลายมาเป็นไอเทมสำคัญที่ช่วยปกปกป้องผิวของทุกคน แต่ก่อนที่กันแดดจะส่งไปถึงมือผู้ใช้งาน การทดสอบกันแดดเป็นขั้นตอนสำคัญมาก เพราะกันแดดไม่ได้แค่ระบุว่ากัน UV ได้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่ามีประสิทธิภาพจริง และปลอดภัยสำหรับผิวเราด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการรับรอง
โดยเหตุผลที่ต้องมีการทดสอบกันแดด มีดังนี้
เพื่อพิสูจน์ว่าสามารถกันแดดได้จริง เพราะแค่ใส่สารกันแดดลงในสูตรไม่พอ เราจะต้องดูด้วยว่าสารเหล่านั้นเมื่อทำงานร่วมกันแล้ว ยังคงมีประสิทธิภาพป้องกันรังสี UV ได้ดีหรือไม่ ในการทดสอบจึงช่วยวัดค่า SPF สำหรับ UVB และ PA หรือ UVA protection factor สำหรับ UVA ได้อย่างแม่นยำ
การทดสอบทั้งในแล็ปและกับคนจะช่วยยืนยันได้ว่าสารกันแดดที่ใส่ลงในผลิตภัณฑ์นั้นๆ จะสามารถปกป้องผิวจากแสงแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลจริง
เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพก่อนวางขาย จากการทดสอบกันแดดที่เป็นมาตรฐานของแบรนด์คุณภาพต้องทำ เพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์มีประสิทธิภาพตามที่ระบุไว้จริง ทั้งในเรื่องการกันแดด และความเสถียรของสูตรเมื่อต้องเจอแสงแดดจริง ๆ
เพื่อเปรียบเทียบกับสูตรอื่น ๆ เนื่องจากหลายแบรนด์พัฒนาแบบสูตรต่อสูตร การทดสอบจะช่วยให้เห็นว่า สูตรใหม่กันแดดได้ดีกว่าเดิมหรือไม่ และเหมาะกับความต้องการของผู้ใช้มากขึ้น
การทดสอบ in vitro คืออะไร

มารู้จักกระบวนการทดสอบคุณภาพกันแดดในแบบแรกกันดีกว่าว่า คืออะไร และมีการทดลองอะไรบ้าง In Vitro หรือที่แปลว่าในหลอดทดลอง คือการทดสอบที่ทำในห้องปฏิการหรือห้องแล็บ โดยไม่มีการใช้มนุษย์ในการทดสอบโดยตรง ส่วนมากจะใช้เครื่องมือหรือวัสดุทดแทน โดยใช้บนแผ่นที่ใช้แทนผิวหนังมนุษย์ และประเมินด้วยเครื่องมือเฉพาะ สำหรับกันแดดสกินแคร์ การทดสอบ In Vitro จะวัดค่าการดูดซับรังสี UV ของผลิตภัณฑ์ โดยวิธีที่นิยม เช่น การใช้เครื่องวัดสเปกโตรโฟโตมิเตอร์ตรวจสอบการดูดกลืนแสง UV ที่ทดสอบบนแผ่น PMMA ซึ่งเลียนแบบผิวหนังคน
ข้อดีของการทดสอบแบบ In Vitro
ไม่ใช้มนุษย์ในการทดลอง ซึ่งไม่ขัดต่อจริยธรรมห้องทดลอง
ประหยัดเวลาและต้นทุนของการทดลอง
ใช้ระยะเวลาในการทดสอบไม่นาน แต่ผลการทดสอบอาจคลาดเคลื่อนได้ ที่ผลคาดเคลื่อน เกิดจากการปาดครีมลงบนแผ่นตรวจอาจปาดความหนัก-เบาไม่เท่ากัน
การทดสอบ in vivo คืออะไร

การทดลองต่อมาที่นิยมใช้กันมากสำหรับการทดสอบกันแดดหรือสกินแคร์แบบอื่น ๆ นั่นก็คือ In Vivo หรือแปลว่าในสิ่งมีชีวิต ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายคือ การทดสอบบนผิวมนุษย์จริง ๆ โดยมีอาสาสมัครเข้าร่วม ซึ่งวิธีที่นิยมใช้คือ การวัดค่าการป้องกันแสง UVB และ UVA ได้แก่
วัดค่า SPF (Sun Protection Factor) ทากันแดดลงบนผิวจริงแล้วฉายรังสี UV ผ่านผิว แล้วนำไปหาค่าเฉลี่ยของ SPF ที่ได้ โดยคำนวณจากนาทีที่ผิวเริ่มมีอาการแดง
วัดค่า PA หรือค่า UVA-PF มีวิธีการทดสอบเช่นเดียวกับหาค่า SPF *** ISO 24442:2011 สำหรับ UVAPF *** และ *** ISO 24444:2019 สำหรับ UVB SPF ***
ข้อดีของการทดสอบ In Vivo
สะท้อนผลจริงบนผิวมนุษย์
รวมปัจจัยแวดล้อมจริงที่อาจมีผลบนผิวมนุษย์ เช่น เหงื่อ น้ำ การเคลื่อนไหว ฯลฯ
แต่ก็มีข้อจำกัด นั่นก็คือใช้เวลาทดสอบนานเนื่องจากต้องรับสมัครอาสาสมัคร เก็บตัวอย่าง มีค่าใช้จ่ายสูง รวมทั้งมีข้อกังวลด้านจริยธรรม เนื่องจากเป็นการทดลองในมนุษย์จริง ซึ่งต้องดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย
In vivo in vitro ต่างกันอย่างไร

การทดสอบ In vivo และ In vitro เป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการตรวจสอบประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์กันแดด เพื่อให้มั่นใจว่าปกป้องผิวได้จริง มาเปรียบเทียบข้อแตกต่างกัน
In vitro : ทดสอบในหลอดทดลอง
คือ การจำลองสภาพแวดล้อมภายนอก เช่น ผิวหนังเทียมหรือเซลล์ผิว แล้วทาครีมกันแดด จากนั้นฉายรังสี UV เพื่อวัดค่าการปกป้อง เช่น SPF หรือ PA โดยมีข้อดีคือ
1. ไม่ใช้มนุษย์จริง ไม่ต้องกังวลเรื่องหลักจริยธรรมมนุษย์
2. ประเมินการทดสอบประสิทธิภาพได้เร็ว
3. ควบคุมตัวแปรต่างๆ ที่เป็นปัจจัยภายนอกได้
4. เป็นมาตรฐานที่ใช้กันแพร่หลายในวงการเครื่องสำอาง
5. ค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก
In vivo : ทดสอบกับคนจริง
คือ การทาครีมกันแดดลงบนผิวของอาสาสมัคร แล้วฉาย UV เพื่อดูว่าใช้แล้วผิวทนรังสีได้แค่ไหน โดยมีข้อดีคือ
1. วัดผลกับผิวจริง ผลที่ได้อาจมีความน่าเชื่อถือสูง
2. ผลที่ได้ค่อนข้างแม่นยำ
3. ต้องมีมาตรฐานด้านจริยธรรมและความปลอดภัยสูง
เปรียบเทียบ In vitro กับ In vivo
รายการเปรียบเทียบ | In vitro | In vivo |
ผู้เข้าร่วม | ใช้ผิวจำลอง | มีอาสาสมัครจริง |
ความแม่นยำ | ควบคุมปัจจัยภายนอกได้ | ผลที่ได้เป็นผลจากผิวคนจริงๆ |
เวลา/ต้นทุน | เร็ว ประหยัด | ใช้เวลานาน แพง |
เหมาะกับ | วัดค่าทางเทคนิค | วัดผลกับการใช้งานจริง |
มั่นใจกันแดด PO CARE เรามีผลการทดสอบ! ที่รับรองได้

ไม่ต้องลุ้นว่า SPF กับ PA ที่เขียนไว้บนหลอดจะใช้ได้จริงไหม เพราะกันแดดของ PO Care ผ่านการทดสอบ In Vitro แล้วเรียบร้อย จากแล็บที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล ซึ่งผลที่ได้คือ
ทดสอบค่า SPF แบบ In Vitro ด้วยเครื่อง Labsphere UV-2000S ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ใช้ในอุตสาหกรรมความงาม
ทดสอบบน แผ่น PMMA (Polymethylmethacrylate) ซึ่งจำลองสภาพผิวมนุษย์ได้ใกล้เคียงมาก
ได้รับผล SPF และ UVA-PF ที่สามารถเทียบเท่าการทดสอบ In Vivo ในเบื้องต้น ตามแนวทางของ COLIPA และ ISO
ทดสอบกับผล vitro จากแล็บที่เชื่อถือได้
นอกจากนี้ กันแดดของ PO Care ยังได้ทำการพิสูจน์จริงว่าสามารถปกป้องผิวจากแสงแดดได้จริง ผ่านกระบวนการที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อให้ทุกคนที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของเรา รู้สึกปลอดภัย และมั่นใจว่าทาแล้วกันแดดได้จริง ทั้งปกป้องผิวได้ทั้งจากรังสี UVB และ UVA ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง เหมาะกับคนที่ต้องการการปกป้องผิวแบบครบทุกมิติ โดยเฉพาะในเมืองร้อนที่มีแสงแดดจัดอย่างประเทศไทย

การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่แค่เรื่องของค่า SPF สูง ๆ แต่ต้องเช็กให้ถึงวิธีการทดสอบว่า กันแดดนั้นสามารถปกป้องผิวได้จริงหรือไม่ ซึ่งมักมีการทดสอบอยู่สองประเภท คือ In Vitro และ In Vivo โดย In Vitro เป็นการทดสอบในห้องปฏิบัติการโดยไม่ใช้ผิวมนุษย์จริง แต่ใช้แผ่นจำลองผิวเพื่อวัดการดูดกลืนและการสะท้อนของรังสี UV ส่วน In Vivo คือการทดสอบบนผิวหนังของอาสาสมัครจริง ๆ เพื่อดูการปกป้องผิวจากรังสี UV ในสภาพแวดล้อมที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริง ทั้งสองวิธีนี้มีข้อดีและข้อจำกัดที่ต่างกัน โดยการทดสอบแบบ In Vitro จะให้ผลรวดเร็ว ส่วน In Vivo แม้จะใช้เวลามากกว่า แต่จะให้ผลลัพธ์การใช้งานจริงได้ดีกว่า ซึ่งในกันแดด PO Care เราใส่ใจทุกรายละเอียดผ่านการทดสอบที่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะการทดสอบแบบ In Vitro จากแล็บที่เชื่อถือได้ เพื่อให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่า กันแดดของเราปกป้องผิวคุณได้จริง
Comentários